
Biometric
ความหมายของเทคโนโลยี Biometric
เทคโนโลยีชีวภาพ หรือ Biometric คือ การผสมผสานเทคโนโลยีทางด้านชีวภาพและทางการแพทย์ กับเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยการตรวจวัดคุณลักษณะทางกายภาพ (Physical Characteristics) และลักษณะทางพฤติกรรม (Behaviors) ที่เป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละคนมาใช้ในการระบุตัวบุคคลนั้นๆ แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับคุณลักษณะที่ได้มีการบันทึกไว้ในฐาน ข้อมูลก่อนหน้านี้ เพื่อใช้แยกแยะบุคคลนั้นจากบุคคลอื่นๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการตรวจสอบบุคคลคนนั้นในกรณีที่อาจเป็นผู้ต้องสงสัย ในการละเมิดกฎหมายได้อีกด้วย คุณลักษณะทางกายภาพของคนเรานั้นส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ในขณะที่พฤติกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ จึงทำให้การพิสูจน์บุคคลโดยการใช้ลักษณะทางกายภาพนั้น มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ตัวอย่างของคุณลักษณะทางกายภาพที่นิยมนำมาใช้ ได้แก่ ลายนิ้วมือ ม่านตา ช่องตาดำ ฝ่ามือ และรูปหน้า เป็นต้น
ส่วนเสียงพูด การลงลายมือชื่อ การใช้แป้นพิมพ์ ซึ่งจัดเป็นคุณลักษณะทางพฤติกรรมของบุคคล ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและการเรียนรู้ของเจ้าของ แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้ Biometric ประเภทนี้ก็คือ ใช้ง่าย เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ และมีอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ำ เนื่องจากไม่ต้องนำอวัยวะที่ไวต่อการติดเชื้อ (เช่น ดวงตา)ไปสัมผัสกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่านข้อมูล Biometrics
เทคโนโลยี Biometrics
คำว่า Biometrics (ไบโอเมตริกซ์) หรือ Biometry มีการนำมาใช้กันนับร้อยปีแล้ว โดยเป็นศาสตร์ด้านหนึ่งในการนำเอาวิธีการทางคณิตศาสตร์ หรือวิธีการทางสถิติ มาใช้ในการวิเคราะห์แก้ไขปัญหาทางด้านชีววิทยาต่างๆ เช่น การใช้วิธีทางสถิติวิเคราะห์ผลกระทบของมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพของบุคคล, การวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศที่มีผลต่อการเพาะปลูก เป็นต้น แต่ความหมายของ Biometrics ด้านนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของกลุ่มวิจัยนี้ แต่เป็นอีกความหมายหนึ่งของ Biometrics ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้กระบวนการ ในการระบุตัวบุคคลหรือ ตรวจสอบตัวบุคคลโดยอัตโนมัติ โดยใช้ลักษณะทางกายภาพ ที่แตกต่างกันแต่ละบุคคล เช่น รูปแบบของลายนิ้วมือ(Fingerprint) , รูปลักษณ์ของมือ (Hand Geometry), ลักษณะของเรตินา (Retina Pattern), ลักษณะของม่านตา (Iris Pattern) รูปลักษณ์ใบหน้า (Facial) เป็นต้น หรือใช้ลักษณะทางพฤติกรรมของแต่ละบุคคล เช่น เสียง (Voice) , เอกลักษณ์ในการพิมพ์ (Keystroke Dynamics), ลักษณะท่าทางในการเดิน (Gait recognition) เป็นต้น
กระบวนการที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถระบุบุคคลได้โดยอัตโนมัติ นั้นเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์ประเภทหนึ่ง มนุษย์เราใช้วิธีการทางไบโอเมตริกซ์ ในการระบุ ตัวบุคคลอยู่ตลอดเวลา เราใช้ลักษณะจำเพาะทางรูปร่าง ใบหน้า น้ำเสียง หรือแม้กระทั่งกลิ่น ของแต่ละบุคคลในการระบุว่าคนที่เราพบเป็นคนที่เรารู้จักหรือไม่ ดังนั้นจึงถือได้ว่าไบโอเมตริกซ์ เป็นรูปแบบหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) นั่นเอง
เทคโนโลยีด้านนี้เริ่มมีการนำมาประยุกต์ใช้งานมานับสิบปีแล้ว ทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชน แต่ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือได้ยัง เป็นที่น่าสงสัยอยู่ อย่างไรก็ตามการที่บุคคลโดยทั่วไป เริ่มมีการใช้งานระบบคอมพิวเตอร์เพิ่มมากขึ้น ความจำเป็นและความสำคัญในการใช้ Biometric ในการตรวจสอบตัวบุคคลก็มีความสำคัญและจำเป็นเพิ่มขึ้นไปด้วย
การระบุตัวบุคคลโดยใช้ไบโอเมตริกซ์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้ทั้งในภาครัฐบาลและภาคเอกชน เช่น งานทางด้านรักษาความปลอดภัย, ช่วยผู้รักษากฎหมายในการจับตัวผู้กระทำผิด, ช่วยในการตรวจสอบผู้ใช้งานของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์, การจัดการระบบบริหารงานบุคคล (เช่น งานตรวจสอบเวลาการทำงาน), ช่วยในการตรวจสอบตัวบุคคลในการซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต, การจัดการเรื่องการพิสูจน์ตัวบุคคลของสถาบันการเงิน เป็นต้น
ไบโอเมตริกซ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การใช้ลักษณะทางกายภาพ (Physiological Biometrics) และการใช้ลักษณะทางพฤติกรรม (Behavioral Biometrics) ในการระบุตัวบุคคล
ลักษณะทางกายภาพ (Physiological Biometrics)
- ลายนิ้วมือ Fingerprint
- ลักษณะใบหน้า Facial Recognition
- ลักษณะของมือ Hand Geometry
- ลักษณะของนิ้วมือ Finger Geometry
- ลักษณะใบหู Ear Shape
- Iris และ Retina ภายในดวงตา
- กลิ่น Human Scent
ลักษณะทางพฤติกรรม (Behavioral Biometrics)
- การพิมพ์ Keystroke Dynamics
- การเดิน Gait Recognition
- เสียง Voice Recognition
- การเซ็นชื่อ Signature
กระบวนการในการตรวจสอบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ลักษณะเฉพาะแบบใดก็ตาม จะมีขั้นตอนเหมือนกันดังต่อไปนี้
1. ผู้ใช้ระบบต้องทำการให้ตัวอย่าง (Samples) ของลักษณะทางไบโอเมตริกซ์ ที่จะใช้ หรือเป็นการลงทะเบียนเริ่มต้นก่อนที่จะทำการใช้ระบบ
2. ตัวอย่างทางไบโอเมตริกซ์ที่ถูกเก็บมาในขั้นตอนแรก จะถูกทำการแปลงและจัดเก็บ ให้เป็นแม่แบบ (Template) ที่จะใช้ในการเปรียบเทียบ
3. เมื่อผู้ใช้ต้องการที่จะใช้ระบบ ก็จะถูกตรวจสอบ หรือระบุผู้ใช้ โดยทำการเก็บตัวอย่างทาง ไบโอเมตริกซ์ ของผู้ใช้และทำการเปรียบเทียบกับ แม่แบบ (Template) ที่เก็บไว้ แล้วทำการตรวจสอบความเหมือนของตัวอย่างกับแม่แบบ จากนั้นก็จะทำการอนุญาต หรือปฏิเสธ การเข้ามาใช้งานระบบของผู้ใช้
เราเรียกขั้นตอนที่ 1 และ 2 ว่าเป็นขั้นตอนของการลงทะเบียน (Enrolment) ซึ่งจะเป็นการทำเพียงครั้งเดียว ก่อนการที่จะเริ่มใช้งาน ส่วนขั้นตอนที่ 3 เป็นกระบวนการตรวจสอบ (Authentication) หรือ ระบุตัวผู้ใช้ (Identification) ซึ่งผลของการตรวจสอบหรือระบุตัวผู้ใช้นี้มีผลออกมาได้ 4 กรณีดังนี้
1. Correct Accept : อนุญาตให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิใช้ระบบ เข้าใช้ระบบ
2. Correct Reject : ปฏิเสธผู้ที่ไม่มีสิทธิใช้ระบบ
3. False Accept : อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ เข้าใช้ระบบ จำนวนของ False Accept ถ้าคำนวณออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ จะเรียกว่า อัตราการอนุญาตผิดพลาด (False Accept Rate หรือ FAR)
4. False Reject : ปฏิเสธผู้ใช้ที่มีสิทธิใช้ระบบ ไม่ให้เข้าใช้ระบบ จำนวนของ False Reject ถ้าคำนวณออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ จะเรียกว่า อัตราการปฏิเสธผิดพลาด (False Reject Rate หรือ FRR)
ข้อดีของเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์
- การใช้ไบโอเมตริกซ์ ทำให้ผู้ใช้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความจำ หรือจำเป็นต้องถือบัตรผ่านใดๆ ทำให้สะดวกและรวดเร็ว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องพกบัตร และต้องจำรหัสผ่าน อีกทั้งยังเป็นการช่วยเพิ่มความปลอดภัย และป้องกันการสูญหายของบัตรผ่าน หรือการลักลอบนำเอารหัสผ่านไปใช้
- ไบโอเมตริกซ์ ยากต่อการปลอมแปลง และยากต่อการลักลอบนำไปใช้
- การใช้ไบโอเมตริกซ์ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เช่นในกรณีของการใช้รหัสผ่าน หรือบัตรผ่าน เจ้าของบัตรอาจอ้างได้ว่ารหัสผ่านหรือบัตรถูกผู้อื่นลักลอบนำไปใช้ แต่ถ้าใช้ การใช้การตรวจสอบหรือระบุตัวบุคคลด้วยไบโอเมตริกซ์ ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้
- ช่วยลดค่าใช้จ่าย เช่น ช่วยในการป้องกันพนักงานลงเวลาแทนกัน(Buddy Punching)
- ระบบจะไม่อนุญาตให้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายเพราะอวัยวะของร่างกายไม่ใช่สิ่งที่จะทำเลียนแบบกันได้
- เทคโนโลยีการจดจำอวัยวะแบบสามมิติจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในระดับที่ยอดเยี่ยม
ข้อเสียของเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์
ปัญหาที่สำคัญของ Biometrics ที่ทำให้ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายมีอยู่ 3 ประการหลัก คือ ความเชื่อถือได้ของ
เทคโนโลยี Biometrics บางประเภทยังมีความเชื่อถือได้ไม่ดีเท่าที่ควร ยังต้องการพัฒนาทั้งทางด้านทฤษฎี และทางด้านอุปกรณ์เครื่องมือ ประการที่สองคือ ราคาของอุปกรณ์ที่จำเป็นเช่น เครื่องสแกนลายนิ้วมือ, เครื่องสแกนเรตินา/ไอริสในดวงตา เป็นต้น ยังมีราคาค่อนข้างสูง และประการสุดท้ายคือ การยอมรับของสังคม เพราะเรื่องของความเป็นส่วนตัวของแต่ละบุคคล (Privacy) ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากในสังคมตะวันตก แต่มีปัญหาน้อยในสังคมตะวันออก อย่างไรก็ตามทุกปัญหาที่กล่าวมาก็มีการแก้ไขและพัฒนาอย่างต่อเนื่องทั้งใน ด้านความรู้ความเข้าใจใหม่ และราคาของอุปกรณ์ที่มีราคาถูกมากในแต่ละปี จะเป็นแรงผลักดันให้มีความนิยมใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์กันมากขึ้น
- ไม่สามารถใช้ได้หากไม่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง
- เนื่องจากใช้อวัยวะของร่างกายเป็นรหัสผ่าน จึงมีโอกาสโดนทำร้ายร่างกายได้ง่าย ซึ่งต่างจากรหัสผ่านและชิปโทเคน
- รหัสผ่านที่ใช้กับระบบนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
การนำเอา Biometrics มาประยุกต์ใช้งาน
งานที่เหมาะสมกับการนำเอา Biometrics มาช่วยส่วนใหญ่เป็นงานที่มีความจำเป็นในการตรวจสอบ และระบุตัวบุคคล อีกนัยหนึ่งคือเป็นงานที่ต้องมีความมั่นใจว่าบุคคลที่เข้ามาใช้งานนั้นเป็น บุคคลที่ผู้นั้นระบุว่าตนเองเป็น รวมถึงงานที่ต้องการความสะดวก และรวดเร็วในการระบุตัวผู้ใช้
การประยุกต์ใช้งาน Biometrics นั้นเหมาะสมทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชน ตัวอย่างของหน่วยงานหรือองค์กรที่สามารถนำมาเอา Biometrics มาช่วยในการดำเนินงานได้ เช่น
การควบคุมการเข้าออกสถานที่ / หรือการใช้ตรวจสอบเวลาทำงาน
การเข้าออกสถานที่หวงห้ามในปัจจุบัน มักจะใช้บัตรผ่าน หรือใช้รหัสผ่าน หรือแม้แต่การใช้ยามเฝ้า ซึ่งการป้องกันแบบนี้สามารถถูกลักลอบได้ง่าย เช่นบัตรผ่าน หรือรหัสผ่าน อาจหาย ลืม หรือแม้แต่ให้คนอื่นยืมใช้ได้ ส่วนยามเฝ้าก็ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของยามแต่ละคน ความบกพร่องของระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันจึงมีอยู่มาก การนำเอาไบโอเมตริกซ์มาช่วยเช่น การผ่านเข้าออกโดยใช้ลายนิ้วมือ, ใช้การตรวจสอบรูปหน้า, หรือแม้แต่การใช้การตรวจสอบลักษณะของเรตินาภายในดวงตา จึงเป็นทางออกที่ดีกว่าการใช้งานที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ระบบที่มีการใช้งานคล้ายกับการควบคุมการเข้าออกสถานที่ก็คือ การตรวจสอบเวลาทำงานของพนักงาน ซึ่งระบบที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันคือ การเซ็นชื่อ, การใช้บัตรตอกลงเวลา และการใช้บัตรแถบแม่เหล็ก การเซ็นชื่อนั้นควบคุม
เวลาได้ไม่ถูกต้องแน่นอน แต่เป็นที่ถูกใจกับพนักงานทั่วไป การใช้บัตรตอกลงเวลา ต้องเสียเวลาการนำเอาบัตรตอกมาคำนวณหาเวลาการทำงาน ดังนั้นจึงมีการนำเอาบัตรแถบแม่เหล็กมาใช้ ซึ่งง่ายต่อการคำนวณหาเวลาทำงาน เพราะสามารถเชื่อมต่อได้โดยตรงกับระบบคอมพิวเตอร์ อย่างไรก็ตามการใช้บัตรตอก หรือการใช้บัตรแถบแม่เหล็ก มีข้อบกพร่องที่สำคัญคือ ง่ายต่อการโกงของพนักงาน โดยการตอกบัตรแทนกัน (Buddy Punching) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับองค์กรทุกองค์กรเป็นอย่างมาก ดังนั้นการนำเอาไบโอเมตริกซ์มาช่วยในการตรวจสอบเวลาทำงานจึงเป็นทางเลือกที่ มีประสิทธิภาพมากกว่า ทั้งนี้เพราะยากต่อการปลอมแปลง นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความสะดวกต่อพนักงาน เพราะไม่มีปัญหาเรื่องการลืม หรือการหายของบัตรแถบแม่เหล็ก เทคโนโลยีทางด้านไบโอเมตริกซ์หลายประเภทที่เหมาะสมต่อการนำมาใช้ ในการตรวจสอบการลงเวลา เช่น การใช้ลายนิ้วมือ, การตรวจสอบรูปหน้า, การตรวจสอบเรตินาตา เป็นต้น
การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ Notebook หลายๆรุ่น มีการนำเอาเทคโนโลยี Biometrics เช่น การใช้ลายนิ้วมือมาช่วยในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับบุคคลที่ต้องการความปลอดภัยในการรักษาข้อมูล เพราะถึงแม้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกขโมย แต่ผู้ที่ขโมยไปก็ไม่สามารถนำไปใช้งานได้ โดยการใช้ลายนิ้วมือมาช่วยมีอยู่หลักๆสองประเภท คือเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook ที่มีตัวตรวจจับลายนิ้วมืออยู่ในตัวเครื่องอยู่แล้ว และ ประเภทที่ใช้ PC Card ที่มีตัวตรวจจับลายนิ้วมืออยู่ ใส่เข้าไปในช่อง PC Card ของเครื่องคอมพิวเตอร์ Notebook โดยที่ลายนิ้วมือจะเป็นการใช้ทดแทนการใช้รหัสผ่าน (Password)
นอกจากนี้การใช้งานคอมพิวเตอร์ระบบเครือข่าย จะต้องให้ผู้ใช้ใส่รหัสผ่านก่อนการใช้งานทุกครั้ง แต่เนื่องจากรหัสผ่านสามารถถูกคาดเดา หรือขโมย หรือ ถูกยืมไปใช้ได้ง่าย ดังนั้นการใช้ Biometrics มาเป็นตัวจัดการเริ่มเข้ามาใช้งานของผู้ใช้ระบบเครือข่าย จึงเป็นสิ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแท้จริงว่า ผู้ที่ใช้ระบบเครือข่ายอยู่คือผู้ที่มีสิทธิในการใช้งานได้จริง เทคโนโลยีที่ใช้ได้กับด้านนี้นอกจากการใช้ลายนิ้วมือแล้ว วิธีที่เหมาะสมต่อการใช้งานมากอย่างหนึ่งคือ การใช้ Keystroke dynamics หรือ การตรวจสอบตัวบุคคลโดยใช้ลักษณะของการพิมพ์ ทั้งนี้เพราะการเข้าไปใช้งานระบบเครือข่าย ผู้ใช้ต้องทำการพิมพ์ชื่อและรหัสอยู่แล้ว การตรวจสอบตัวบุคคลโดยใช้ลักษณะของการพิมพ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องให้ผู้ใช้ ทำอะไรเพิ่มเติม (เช่นไม่ต้องตรวจสอบลายนิ้วมือ) อีกทั้งวิธีการตรวจสอบแบบนี้ยังไม่ต้องการอุปกรณ์เพิ่มเติมใดๆ
การใช้งานของสถาบันการเงิน
การตรวจสอบตัวบุคคล เป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญของการทำธุรกิจของสถาบันทางการเงิน การใช้การตรวจสอบลายเซ็น ลายนิ้วมือ บัตรประจำตัว หรือแม้แต่รหัสผ่าน ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ง่ายแต่การปลอมแปลง และเป็นปัญหาที่สถาบันการเงินประสบเรื่อยมาตั้งแต่เริ่มมีธุรกิจการเงิน การนำเอาเทคโนโลยีทางด้านไบโอเมตริกซ์มาเป็นสิ่งประกอบเพิ่มเติมในการตรวจ สอบตัวบุคคล จึงเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากสถาบันทางการเงิน ทั้งทางด้านการช่วยในการเบิกถอนเงินทั้งที่ผ่านทางเคาท์เตอร์ และทั้งที่ผ่านทางเครื่อง ATM นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ในการตรวจสอบผู้ใช้บัตรเครดิต ก็จะเป็นการช่วยลดการปลอมแปลง หรือการลักลอบใช้บัตรเครดิตของผู้อื่น รวมถึงช่วยลดอัตราการปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้ใช้ เพราะมีหลักฐานที่แน่นอนในการระบุตัวบุคคลที่เชื่อถือได้
การใช้งานด้านการระบุตัวอาชญากร
การระบุตัวอาชญากรที่ทำมาในอดีตคือการตรวจสอบลายนิ้วมือ หรือการชี้ตัวโดยพยาน ซึ่งสามารถนำเอา Biometrics มาช่วยในการตรวจสอบลายนิ้วมือโดยอัตโนมัติ AFIS (Automated Fingerprint Identification System) ระบบนี้นอกจากจะให้ทางตำรวจตรวจลายนิ้วมือที่พบในที่เกิดเหตุกับฐานข้อมูล ลายนิ้วมืออาชญากรที่มีอยู่แล้ว ระบบ AFIS ยังสามารถเป็นแหล่งข้อมูลให้กับทางองค์กรทางเอกชน ในการค้นหาประวัติการทำผิดกฎหมายของผู้สมัครงานหรือบุคคลากรภายในองค์กรได้ อีกด้วย นอกจากลายนิ้วมือที่ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจจับอาชญากรแล้ว การใช้เทคโนโลยีทางด้านการระบุตัวบุคคลโดยการตรวจสอบใบหน้า (Facial Recognition) ยังใช้กันแพร่หลายในคาสิโนหลายแห่งในประเทศอเมริกา โดยใบหน้าของผู้ต้องสงสัย จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลผู้กระทำผิดที่มีอยู่ ถ้ามีลักษณะที่เหมือนกันมาก ก็จะทำการส่งรูปของผู้ต้องสงสัยไปให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกทีหนึ่ง กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาไม่กี่นาที และมักจะจับกุมผู้กระทำผิดได้ก่อนที่ผู้กระทำผิดจะรู้ตัว อีกตัวอย่างหนึ่งที่มีการใช้ Biometrics ในการช่วยตรวจสอบอาชญากร คือ การตรวจสอบหาอาชญากรของกรมตำรวจ Tampa Bay รัฐ Florida ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยทางกรมตำรวจได้ติดตั้งกล้องถ่ายวีดีโอขนาดเล็ก 36 ตัวตามจุดต่างๆทั่วเมือง แล้วทำการเปรียบเทียบใบหน้าของผู้คนที่เดินผ่านจุดที่ทำการติดตั้งกล้องวีดี โอกับฐานข้อมูลใบหน้าอาชญากรที่มีอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามยังไม่มีการจับกุมอาชญากรได้จากวิธีนี้ อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีนี้เป็นการช่วยให้ทางอาชญากรต้องระวังตัวมาก ขึ้น และทำให้ทางกรมตำรวจสามารถตรวจตรารักษาความสงบภายในเมืองได้ดียิ่งขึ้น
จากประโยชน์และการประยุกต์ใช้งานของเทคโนโลยีทางด้านไบโอเมตริกซ์ที่กล่าวมา ข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเทคโนโลยีทางด้านไบโอเมตริกซ์สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้กับงานทุกๆประเภท ที่มีความจำเป็นในการระบุตัวบุคคล ดังนั้นในอนาคตอันใกล้ เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์ก็จะเข้ามาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอันหนึ่งในการใช้ ชีวิตประจำวันของบุคคลทั่วไป
ที่มา: http://www.vcharkarn.com และ http://www.esat.kuleuven.be/cosic/thesis/2009/biometrics.jpg

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น